นี่คือหัวข้อที่ the Economist สื่อระดับโลกของอังกฤษด้านธุรกิจ เศรษฐกิจ และการเมือง ได้ตั้งคำถามและวิเคราะห์ เอาไว้
"เรียนสิงคโปร์" ศูนย์แนะแนวศึกษาต่อสิงคโปร์ เห็นว่า สกู๊ปข่าวนี้เป็นประโยชน์ต่อนักเรียนและผู้ปกครอง โดยเฉพาะการวางแผนเรียนต่อมหาวิทยาลัย จึงช่วยแปลและทำสรุปให้ดังนี้
ในอดีต การเรียนปริญญามักนำไปสู่การได้งานมั่นคงและเงินเดือนดีแต่ทุกวันนี้ บัณฑิตรุ่นใหม่ในประเทศตะวันตกกลับพบว่า โอกาสในการทำงานมีน้อยลงกว่าเดิม ดังนั้น คำถามคือ การไปเรียนมหาวิทยาลัยยังคุ้มค่าอยู่ไหม?
ทุกวันนี้อัตราการว่างงานของบัณฑิตในสหรัฐฯและสหภาพยุโรปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ทำไมจึงเกิดแนวโน้มนี้?
มีทฤษฎีหนึ่งบอกว่า มหาวิทยาลัยต่าง ๆ เริ่มเปิดรับนักศึกษาที่มีศักยภาพต่ำลงและไม่ได้สอนอย่างมีคุณภาพเท่าเดิม ผลก็คือ นายจ้างเริ่มมองว่า บัณฑิตที่มีผลการเรียนกลางๆแทบไม่ต่างจากคนที่ไม่ได้เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย
อีกทฤษฎีหนึ่งชี้ว่า ปัจจุบัน งานที่ต้องใช้วุฒิปริญญามีจำนวนน้อยลงมาก เช่น เมื่อก่อนการใช้คอมพิวเตอร์ต้องอาศัยการเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้ แทบทุกคนสามารถใช้เทคโนโลยีได้เองโดยไม่ต้องมีวุฒิใด ๆ
นอกจากนี้ จำนวนงานในอุตสาหกรรมที่เป็นสายบัณฑิตก็ลดลงเช่นกัน ในสหภาพยุโรป จำนวนคนที่ทำงานด้านการเงินและประกันภัยลดลงถึง 16% ระหว่างปี 2009–2024 ส่วนในอังกฤษ จำนวนคนอายุยี่สิบต้น ๆ ที่ทำงานด้านกฎหมายและการเงินลดลง 10% ตั้งแต่ปี 2016
หลายคนอาจโทษว่า AI แย่งงาน แต่ในความจริงแล้ว การลดลงของงานระดับบัณฑิตเริ่มมานานก่อนที่ ChatGPT จะถือกำเนิดเสียอีก
สาเหตุที่แท้จริงคือ อุตสาหกรรมที่เคยเป็นแหล่งจ้างงานหลักของบัณฑิต เช่น ธนาคารเพื่อการลงทุนเผชิญภาวะยากลำบากหลังวิกฤตการเงินโลกปี 2007–2009 ยุคทองของสายการเงินจึงสิ้นสุดลง และบริษัทเหล่านี้ก็ลดการจ้างงานบัณฑิตลง
ผลที่ตามมา ในอเมริกา คนหนุ่มสาวจำนวนมากจึงเริ่มตั้งคำถามว่า จะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยดีไหม?
ข้อมูลจาก OECD ระบุว่า จำนวนนักศึกษาในระดับปริญญาตรีในสหรัฐฯ ลดลง 5% ระหว่างปี 2013–2022
อย่างไรก็ตาม ในประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ ที่รัฐบาลช่วยอุดหนุนค่าเล่าเรียนมากกว่า เช่น ในยุโรป คนหนุ่มสาวยังคงสมัครเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยกันอยู่ โดยจำนวนผู้เรียนในกลุ่ม OECD เพิ่มจาก 28 ล้านคนเป็น 31 ล้านคน ภายในสิบปีจนถึงปี 2022
แล้วนักศึกษากำลังเลือกเรียนถูกทางไหม?
บางทีปัญหาอาจไม่ใช่มหาวิทยาลัยแต่คือ การเลือกสาขาวิชาที่เรียน
สาขาศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ยังคงได้รับความนิยมสูงแม้กระทั่งวารสารศาสตร์ที่ตลาดงานหดตัวอย่างหนัก หากแนวโน้มนี้สะท้อนความคิดของคนรุ่นใหม่เกี่ยวกับอนาคตของการทำงาน ก็อาจหมายความว่า พวกเขากำลังเจอกับความเสี่ยงครั้งใหญ่
แล้วในยุค AI ควรเรียนอะไรดี?
เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วทำให้อนาคตของงานเปลี่ยนไปด้วย หลายคนเริ่มกังวลว่า ทักษะที่เรียนวันนี้อาจล้าสมัยในไม่กี่ปีข้างหน้า ยกตัวอย่างเช่น การเขียนโค้ด (Coding) ก็อาจกลายเป็นสิ่งที่ AI ทำได้แทน
การสำรวจหนึ่งพบว่า สัดส่วนของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ในอเมริกาและอังกฤษที่มีความกังวลว่า AI จะทำให้ทักษะในงานของตน “ล้าสมัย” เพิ่มจาก 74% เป็น 91% ภายในเพียงหนึ่งปี
แล้วสาขาวิชาใดที่จะยังมีคุณค่า?
บางสาขายังคงเกี่ยวข้องและมีความต้องการสูง เช่น สาขาหุ่นยนต์ (Robotics) ซึ่งช่วยให้มนุษย์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้สูงสุดหรืองานเชิงปฏิบัติ เช่น ช่างประปา ช่างไม้ ที่ AI ยังไม่สามารถแทนที่ได้ง่าย และยังเป็นอาชีพที่สังคมให้คุณค่าอาชีพเหล่านี้มักไม่ต้องใช้วุฒิมหาวิทยาลัย แต่สามารถเรียนรู้ผ่านการฝึกงานหรือการฝึกอาชีพได้
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการเลือกสาขา คือการพัฒนาทักษะ Soft Skills เช่น การสื่อสาร การคิดเชิงวิพากษ์ ความน่าเชื่อถือ ความเห็นอกเห็นใจ และการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นเพราะทักษะเหล่านี้ใช้ได้ในทุกอุตสาหกรรม
ทักษะมนุษย์ที่ยังจำเป็น
ผลวิจัยของ OECD ปี 2019 ชี้ว่า มนุษย์จำเป็นต้องพึ่ง “ทักษะเฉพาะของมนุษย์” เพื่อความสำเร็จในอนาคต
สิ่งสำคัญคือ การรู้วิธีเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะใหม่ ๆ และปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง
งานที่ต้องใช้ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสูง เช่น งานดูแลผู้อื่น ยังต้องการมนุษย์เสมอ ดังนั้นทักษะอย่าง การเจรจา การจูงใจ และการเข้าใจผู้อื่น จะกลายเป็นหัวใจสำคัญ
ปัจจุบัน AI ยังไม่เก่งเรื่องเหล่านี้ ดังนั้น ถ้ามนุษย์สามารถพัฒนา Soft Skills และปรับตัวเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ ๆ ได้ ก็จะช่วยให้เรายังแข่งขันกับเครื่องจักรได้อยู่ และในการเรียนมหาวิทยาลัย แทบทุกหลักสูตรในระดับปริญญามักมีโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกทักษะเหล่านี้ผ่านงานกลุ่ม (group work), การนำเสนอ (presentation), หรือกิจกรรมเสริมหลักสูตร (extra-curricular activities)
ประสบการณ์สำคัญกว่าปริญญา
สุดท้ายแล้วสาขาที่เรียนอาจไม่สำคัญเท่าประสบการณ์ที่ได้ เช่น การฝึกงานหรือทำงานจริงระหว่างเรียน
งานวิจัยพบว่าบัณฑิตที่จบในปี 2022 และเคยฝึกงานระหว่างเรียน มีโอกาสได้งานประจำภายใน 6 เดือนหลังจากเรียนจบสูงกว่าคนที่ไม่ได้ผ่านการฝึกงานถึง 23%
แม้เราจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่า เทคโนโลยีจะเปลี่ยนโลกการทำงานอย่างไรในอีกหลายสิบปีข้างหน้า
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือนักศึกษาที่มีทักษะรอบด้าน มีใจรักการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีทัศนคติที่ดีย่อมไปได้ไกลในทุกเส้นทาง
บทความนี้เรียบเรียงและสรุปจากบทวิเคราะห์ของ The Economist
เรื่อง Is university still worth it?
ผู้สนใจสามารถรับชมบทวิเคราะห์ฉบับเต็มได้ทาง YouTube ของ The Economist
https://www.youtube.com/watch?v=_O48-ao5_40