เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ในหน้าเวบไซต์ของสำนักข่าว BBC ได้ลงบทความเกี่ยวกับการศึกษาในสิงคโปร์ สิ่งที่น่าสนใจในบทความนี้ คือ แนวทางการสอนที่จะเตรียมคนสำหรับในอนาคต 20 ปีข้างหน้าและบทบาทของครู
อาจกล่าวได้ว่าปัจจัยสำคัญของการประสบความสำเร็จต่างๆของการศึกษาที่สิงคโปร์ ส่วนหนึ่งมาจากบุคคลากรครูที่มีคุณภาพ ซึ่งไม่ได้มาโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการวางแผนและนโยบายที่ชัดเจน สิงคโปร์ก็เหมือนหลายๆประเทศ กล่าวคือในอดีตอาชีพครูเป็นอาชีพที่ไม่ค่อยมีคนอยากจะทำกัน ดังนั้นนับตั้งแต่ปี 1990 (พ.ศ.2533) รัฐบาลสิงคโปร์จึงพยายามยกระดับอาชีพครูให้ดีขึ้น โดยการสร้างภาพพจน์เกี่ยวกับอาชีพครู มีการฝึกอบรบและให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น ทั้งนี้เพื่อดึงดูดคนเก่งๆเข้ามาประกอบอาชีพนี้
Dr. Pak Tee Ng, แห่งสถาบันการศึกษาแห่งชาติ (National Institute of Education หรือ NTE) ซึ่งเปรียบเสมือนสถาบันผลิตครูแห่งชาติกล่าวไว้ว่า “ปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก คือการมีครูที่ดี ครูที่เข้าใจนักเรียน มีการปรับวิธีการสอนให้เข้ากับนักเรียน และทำให้การสอนสนุกและน่าสนใจ ทำอย่างไรจะกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็ก”
ช่วงยุคปี 1970 (พ.ศ.2513) ระบบการศึกษาของสิงคโปร์มีจุดประสงค์เพื่อตอบสนองภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก ซึ่งช่วงดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ประเทศกำลังพัฒนา พอเข้าสู่ช่วงปลายปี 1990 (พ.ศ.2533) ระบบเศรษฐกิจของประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปและก้าวหน้าไปมาก ระบบการศึกษาจึงเปลี่ยนตามไปด้วยโดยก้าวเข้าสู่ Knowledge based ซึ่งจะมุ่งเน้นพัฒนาระบบความคิดและความคิดสร้างสรรค์
ในปัจจุบัน สิงคโปร์ต้องการเดินหน้าไปสู่การศึกษาอีกขั้นหนึ่ง ที่เรียกว่า การศึกษาแบบองค์รวม (Holistic Education) ซึ่งจะมุ่งเน้นวิธีการเรียนรู้ (Processing Information ) มากกว่าตัวเนื้อหา (Content) ซึ่งจะเตรียมนักเรียนในรุ่นปัจจุบันนี้เพื่ออนาคตในอีก 20 ปีข้างหน้า
ด้วยเหตุนี้รูปแบบการเรียนการสอนจึงเปลี่ยนไป แทนที่จะนั่งเรียนอย่างเคร่งเครียดกันในห้องเรียน นักเรียนสิงคโปร์จะมีโอกาสเรียนนอกชั้นเรียนเพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่าง กิจกรรมล่าสุดของโรงเรียน Rosyth เหล่าบรรดาเด็กนักเรียนจำนวน 80 คนอายุประมาณ 9-10 ปี พร้อมด้วยอุปกรณ์ Ipad และ สมาร์ทโฟน มุ่งหน้าสู่สวนสาธารณะ เพื่อเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์
|